วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
กฏ Moore's law
Moore's law คืออะไร
Moore’s law คือกฎที่อธิบายแนวโน้มของการพัฒนาฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์ในระยะยาว
มีความว่าจำนวนทรานซิสเตอร์ที่สามารถบรรจุลงในชิพจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ในทุกๆสองปี
Gordon E.Mooreผู้ก่อตั้ง Intel
ซึ่งได้อธิบายแนวโน้มไว้ในรายงานของเขาในปี1965 จึงพบว่ากฎนี้แม่นยำ
อาจเกิดขึ้นเนื่องอุตสาหกรรม semmicondutor นำกฎนี้ไปเป็นเป้าหมายในการวางแผน
พัฒนาอุตสาหกรรมได้ Morre’s law เป็นปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวม
จำนวนของทรานซิสเตอร์ ต่อตารางนิ้วบน แผงวงจรรวม มีสองเท่าทุกปีตั้งแต่วงจรรวมถูกคิดค้น
Moore
presicted that this trend wood
continue for the foreseeable future มัวร์ที่คาดการณ์ว่าแนวโน้มจะดำเนินต่อไปในอนาคตอันใกล้ ในปีถัดไป, การก้าวชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่ความหนาแน่นของข้อมูลได้เท่าประมาณทุก 18
เดือน
กอร์ดอน มัวร์ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอินเทลได้ใช้หลัก
การสังเกตตั้งกฎมัวร์
(Moore’s
law) ขึ้น ซึ่งเขาบันทึกไว้ว่า
ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวม
กฎของมัวร์
(Moore's
Law)
ในปี พ.ศ. 2490 วิลเลียมชอคเลย์และกลุ่มเพื่อนนักวิจัยที่สถาบัน
เบลแล็ป ได้คิดค้นสิ่งที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อชาวโลกมาก
เป็นการเริ่มต้นก้าวเข้าสู่ยุคอิเล็กทรอนิคส์ที่เรียกว่า โซลิดสเตทเขาได้ตั้งชื่อสิ่งที
่ประดิษฐ์ขึ้นมาว่า "ทรานซิสเตอร์"
แนวคิดในขณะนั้นต้องการควบคุมการไหลของกระแสไฟฟ้า ซึ่งสามารถทำได้ดีด้วยหลอดสุญญากาศแต่หลอดมี
ขนาดใหญ่เทอะทะใช้กำลังงานไฟฟ้ามากทรานซิสเตอร์จึงเป็นอุปกรณ์ที่นำมาแทนหลอดสุญญากาศได้เป็นอย่างดีทำให้เกิดอุตสาหกรรมสาร
กึ่งตัวนำตามมา และก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ
พ.ศ. 2508 อุตสาหกรรมผลิตอุปกรณ์สารกิ่งตัวได้แพร่หลาย
มีบริษัทผู้ผลิตทรานซิสเตอร์จำนวนมากการประยุกต์ใช้งานวงจรอิเล็กทรอนิกส์ กว้างขวางขึ้น มีการนำมาใช้ในเครื่องจักร อุปกรณ์ต่าง ๆ ตั้งแต่ของใช้ในบ้าน จึงถึงในโรงงานอุตสาหกรรม
การสร้างทรานซิสเตอร์มีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง บริษัท
แฟร์ซายด์ เซมิคอนดัคเตอร์เป็นบริษัทแรกที่เริ่มใช้เทคโนโลยีการผลิต
ทรานซิสเตอร์แบบ Planar หรือเจือสารเข้าทางแนวราบ
เทคโนโลยีแบบของการสร้างไอซีในเวลาต่อมา จากหลักฐาน พบว่า
บริษัทแฟร์ซายด์ได้ผลิตพลาน่าทรานซิสเตอร์ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2502 และบริษัทเท็กซัสอินสตรูเมนต์ได้ผลิตไอซีได้ในเวลาต่อมา
และกอร์ดอนมัวร์กล่าวไว้ว่า จุดเริ่มต้นของกฎของมัวร์เริ่มต้นจากการเริ่มมีพลาน่าทรานซิสเตอร์
วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
รหัสASCII และรหัสUNICODE
รหัส ASCII
รหัสAmericanคือAmericanStandard
Code for Information Interchange (ASCII) อ่านว่า แอส-กี้ เป็นรหัสที่พัฒนาขึ้นโดยสถาบันมาตรฐานแห่งชาติสหรัฐอเมริกา
(American National Standard Institute: ANSI อ่านว่า
แอน-ซาย) เรียกว่า ASCII Code ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไป
รหัสนี้ได้มาจากรหัสขององค์กรมาตรฐานระหว่างประเทศ (InternationalStandardization Organization: ISO)
ขนาด7บิต ซึ่งสามารถสร้างรหัสที่แตกต่าง กันได้ถึง128รหัส
(ตั้งแต่ 000 0000 ถึง 111 1111)โดยกำหนดให้32รหัสแรกเป็น 000 0000 ถึง 001 1111)ทำหน้าที่เป็นสั่งควบคุมเช่นรหัส 000 1010 แทนการเลื่อนบรรทัดในเคื่องพิมพ์เป็นต้นและอีก96รหัสถัดไป(32"95)ใช้แทนอักษรและสัญญาลักษณ์พิเศษอื่นรหัสASCIIใช้วิธีการกำหนดการแทนรหัสเป็นเลขฐานสิบหก ทำให้ง่ายต่อการจำและการใช้งาน
นอกจากนั้นยังสามารถเขียนมนรูปของเลขฐานสิบหกได้ด้วย ดังนั้นASCII Codeจีงเป็ฯรหัสที่เขียนได้3แบบ เช่นอักษรAสามารถแทนเป็นรหัสได้ดังนี้
สัญลักษณ์
|
เลขฐานสิบ
|
เลขฐานสอง
|
เลขฐานสิบหก
|
A
|
65
|
100 0001
|
4 1
|
รหัส ASCII สามารถใช้แทนข้อมูลอักขระและคำสั่งได้มากขึ้น
และมีการขยายเป็นรหัสแบบ 8 บิต
ตารางแสดงรหัสASCII
Unicode
ยูนิโค๊ด คือ
รหัสคอมพิวเตอร์ใช้แทนตัวอักขระ สามารถใช้แทน ตัวอักษร,ตัวเลข,สัญลักษณ์ต่างๆ ได้มากกว่ารหัสแบบเก่าอย่าง ASCII ซึ่งเก็บตัวอักษรได้สูงสุดเพียง
256 ตัว(รูปแบบ) โดย Unicode รุ่นปัจจุบันสามารถเก็บตัวอักษรได้ถึง
34,168 ตัวจากภาษาทั้งหมดทั่วโลก 24 ภาษา
โดยไม่สนใจว่าเป็นแพลตฟอร์มใด ไม่ขึ้นกับโปรแกรมใด หรือภาษาใด unicodeได้ถูกนำไปใช้โดยผู้นำในอุตสาหกรรมเช่นApple,hp.IBM,Microsoft,Unixฯลฯและแนวทางอย่างเป็นทางการในการทำISO/IEC
10646 ดังนั้น Unicode
จึงถือเป็นมาตรฐานในการกำหนดรหัส สำหรับทุกตัวอักษร ทุกอักขระ unicode ทำให้ข้อมูลสามารถเคลื่อนย้ายไปมาในหลายๆ
ระบบ ข้ามแพลตฟอร์มไปมา หรือข้ามโปรแกรมได้อย่างสะดวก โดยไร้ข้อจำกัดUnicode ต่างจาก ASCII
คือ ASCII เก็บ byte เดียว แต่ Unicode เก็บ 2 byte ซึ่งข้อมูล 2 byte เก็บข้อมูลได้มากมายมหาศาล สามารถเก็บข้อมูลได้มากมายหลายภาษาในโลก
อย่างภาษาไทยก็อยู่ใน Unicode นี้ด้วยเหมือนกัน ดังนั้นรหัสภาษาไทยเอาไปเปิดในภาษาจีน ก็ยังเป็นภาษาไทยอยู่ ไม่ออกมาเป็นภาษาจีน เพราะว่ามี code ตายตัวอยู่ว่า code นี้จองไว้สำหรับภาษาไทย แล้ว code ตรงช่วงนั้นเป็นภาษาจีน ตรงโน่นเป็นภาษาญี่ปุ่น จะไม่ใช้ที่ซ้ำกัน เป็นต้น
วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
บิตตรวจสอบ (Parity Bit)
บิตตรวจสอบหมายถึง ความผิดพลาดต่ำที่มีค่าเป็น0หรือ1แต่อาจเกิดข้อบกพร่องขึ้นได้ภายในหน่วยความจำ
จึงเป็นบิตที่เพิ่มเข้าไปในข้อมูลโดยไม่จำเป็นว่าจะต้องนำไปต่อท้ายหรือขึ้นต้นเพื่อทำให้แน่ใจว่าบิตที่เป็นค่า1ในข้อมูลมีจำนวนเป็นเลขคู่และเลขคี่การใช้แพริตีบิตเป็นวิธีที่ง่ายในการตรวจจับและแก้ไขความผิดพลาด
มีวิธีการตรวจสอบอยู่2วิธี
1.การตรวจสอบบิตภาวะคู่(Even Parity) จะมีค่าเป็น1เมื่อจำนวนของเลข1ในข้อมูลเป็นจำนวนคี่
2.การตรวจสอบบิตภาวะคี่(Odd Parity)
จะมีค่าเป็น1เมื่อจำนวนของเลข1ในข้อมูลเป็นจำนวนคู่
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)